รถเร็ว แรงดี! ส่วนหนึ่งเป็นผลจากแบตเตอรี่ที่ดีมีคุณภาพ แต่เมื่อผ่านระยะเวลาใช้งานนาน ๆ อาการแบตเสื่อมต่าง ๆ ก็เริ่มถามหาได้ และไม่ว่าจะเป็นรถเก่าหรือรถใหม่ก็สามารถประสบปัญหาอาการแบตรถเสื่อม หรือรถแบตหมดได้เหมือนกัน เมื่อรถยนต์ยังคงจำเป็น และเราต้องใช้งานอยู่เป็นประจำ บล็อกนี้ DirectAsia มีวิธีสังเกตอาการแบตเตอรี่รถเสื่อม พร้อม 5 เหตุผลควรเลี่ยง หากอยากมีแบตเตอรี่ใช้แบบอึด ๆ ยาว ๆ!
5 เหตุผล ใช้รถแบบไหนทำแบตเสื่อมไวสุด!
โดยปกติแล้วแบตเตอรี่ในปัจจุบันสามารถใช้งานได้อยู่ที่ 2-5 ปี ขึ้นอยู่กับคุณภาพของแบตเตอรี่เป็นหลัก บวกกับพฤติกรรมการใช้งานที่ทำให้รถเข้าใกล้อาการแบตเสื่อมเร็วขึ้น ก่อนไปอ่านวิธีสังเกตอาการแบตเสื่อม อยากชวนทุกคนไปเช็กลิสต์พฤติกรรมการใช้รถที่กระตุ้นให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมไวขึ้นไปพร้อมกัน
- จอดรถนานมากเกินไป ใครที่คิดว่าการจอดรถแช่ทิ้งไว้ในรั้วบ้านจะช่วยเซฟแบตเตอรี่ให้นานขึ้นได้ ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะการจอดรถทิ้งไว้อย่างน้อย 1 สัปดาห์ จะทำให้แบตอ่อนหรือเกิดอาการแบตเสื่อมได้เร็วขึ้น เพราะในทุก ๆ วันแบตเตอรี่จะยังมีการคายประจุอยู่เรื่อย ๆ เพื่อเลี้ยงระบบไฟฟ้าต่าง ๆ ภายในรถ การจอดรถแช่หรือจอดทิ้งไว้นานจะทำให้แผ่นธาตุ (Plate) ในแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ ทำให้รถสตาร์ตติดยาก และแบตรถเสื่อมได้ในที่สุด
- สภาพอากาศร้อน/เย็นจัด แม้ปัญหาเครื่องยนต์ดับในสภาพอากาศเย็นจัดจะดูเป็นเรื่องไกลตัวในบ้านเรา แต่ใช่ว่าสภาพอากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นในบ้านเราจะไม่เสี่ยงเกิดปัญหา เพราะปัญหารถสตาร์ตติดยากยังมาจากระดับอุณหภูมิอากาศที่เปลี่ยนแบบกะทันหันจนเกินไป ทำให้แผ่นตะกั่วเกิดตะกอน และประสิทธิภาพการกักเก็บไฟน้อยลง ขณะที่การสตาร์ตเครื่องยนต์ในสภาพอากาศเย็นจำเป็นต้องใช้กระแสไฟมากกว่าปกติ 2 เท่า
- ไดชาร์จมีปัญหา หากเปรียบแบตเตอรี่เป็นหัวใจ ไดชาร์จ(Alternator) คงเป็นเส้นเลือดใหญ่เพราะคอยจ่ายไฟไปทั่วทั้งคันรถ เนื่องจากไดชาร์จถือเป็นจุดกำเนิดไฟฟ้าให้แบตเตอรี่ ทำให้เครื่องยนต์สตาร์ตติด และอุปกรณ์อื่น ๆ ภายในรถใช้งานได้
- แบตเตอรี่ทำงานหนักเกินไป ของมีไว้ใช้แต่ก็ควรรู้จักใช้อย่างเหมาะสม เช่นเดียวกันกับวิธีใช้เครื่องยนต์หรือแบตเตอรี่ การเปิดไฟหน้ารถทิ้งไว้ แต่งระบบไฟเยอะเกินไป รวมถึงรถยนต์ที่มีฟังก์ชันระบบไฟฟ้าเยอะ ๆ เช่น จอทีวี เครื่องแอมป์ขยายเสียง การชาร์จอุปกรณ์เพิ่มเติมต่าง ๆ อย่างกล้อง หรือชาร์จมือถือบนรถยนต์เป็นประจำ จะทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักขึ้นส่งผลให้แบตหมดเร็วขึ้นได้นั่นเอง
- ใช้ประเภทแบตเตอรี่ไม่เหมาะสม แบตเตอรี่รถยนต์มีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท คือ แบตเตอรี่ชนิดน้ำ แบตเตอรี่ชนิดแห้ง และแบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง ซึ่งมีวิธีดูแลและการใช้งานแตกต่างกัน เช่น การเติมน้ำกรด และการชาร์จไฟก่อนใช้งาน ทั้งยังมีอายุการใช้งานและราคาไม่เท่ากัน การเลือกใช้แบตเตอรี่ที่ดีจึงเป็นการเลือกแบตเตอรี่ที่ตรงตามลักษณะการขับขี่ผู้ใช้งาน เช่น ขับรถเป็นประจำ ขับรถระยะไกล-ระยะสั้น เป็นต้น
รวมถึงปัจจัยร่วมอื่น ๆ ที่ทำให้แบตรถเสื่อมจนแบตรถหมดไวขึ้นได้ เช่น การดัดแปลงไดชาร์จ สายพานหลวม แม้เราจะเลือกใช้แบตเตอรี่รถยนต์ที่ดีมีมาตรฐาน แต่หากเรามีพฤติกรรมใช้รถตรงตามลิสต์เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นประจำ ก็เพียงพอที่จะทำให้แบตรถเสื่อมได้
4 อาการต้องสงสัย รถเข้าใกล้อาการแบตเสื่อม!
- สตาร์ตติดยาก หรือไม่ติดเลย
รถสตาร์ตติดยาก อาการบ่งบอกว่าแบตเตอรี่รถกำลังจะหมดไป จากปัญหาไดชาร์จที่ไม่สามารถจ่ายไฟได้ หรือจ่ายไฟให้แบตเตอรี่ได้น้อยลง ยิ่งรถคันไหนที่มีอายุการใช้งานเกิน 10 ปี การวอร์มเครื่องยนต์เป็นประจำคือสิ่งสำคัญที่ต้องทำสม่ำเสมอ เพื่อช่วยคงประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ และมากพอให้น้ำมันเครื่องไหลไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์นั่นเอง
- ระบบไฟทำงานผิดปกติ
รถสตาร์ตติดแต่ไฟเกิดติด ๆ ดับ ๆ หรือขับรถอยู่แล้วสังเกตว่าไฟหน้ารถ ไฟในรถเปิดไม่ติด หรือจอแสดงผลดับไปในระหว่างทาง รวมถึงการทำงานของพวงมาลัยที่ช้าลง จนทำให้เราบังคับพวงมาลัยได้น้อยลง ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณของอาการแบตเสื่อม หรืออาการรถแบตหมด ซึ่งควรนำรถส่งเข้าศูนย์เพื่อแก้ไขให้เร็วที่สุด
- แสงไฟสว่างน้อยลง
นอกจากการทำงานของระบบไฟฟ้าที่เป็น ๆ หาย ๆ จนสังเกตได้แล้ว ความสว่างของไฟหน้ารถ รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เคยปรากฏแสงสว่างเต็มที่ ทันทีที่อุปกรณ์เหล่านั้นมีความสว่างลดน้อยลง ให้รู้ไว้เลยว่าแบตรถกำลังจะหมดในอีกไม่ช้า โดยเฉพาะใครที่ตะลุยใช้รถแบบดุดัน! คงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการขับรถให้มากขึ้นเพื่อความปลอดภัย และช่วยรักษาอายุแบตเตอรี่ไปด้วยนั่นเอง
- แบตเตอรี่บวมขึ้น และอายุแบตเตอรี่เกิน
อย่างที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นว่าอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่มีคุณภาพจะอยู่ที่ 2-5 ปีโดยเฉลี่ย ในกรณีที่แบตเตอรี่ใช้งานได้ไม่ถึง 2 ปี แล้วเกิดมีปัญหาแบตบวมทำให้รถมีปัญหา นั่นเท่ากับว่าแบตเตอรี่ได้สิ้นสภาพและไม่ควรใช้งานต่อไป โดยมักเกิดจากแบตเตอรี่ที่ไม่ได้คุณภาพ และไดชาร์จผลิตกระแสไฟไม่เพียงพอ รวมถึงปัญหาแบตบวมเพราะขาดน้ำกลั่น ทำให้ความร้อนไม่สามารถถ่ายเทออกได้ ซึ่งมักพบได้ในแบตเตอรี่ชนิดที่ต้องเติมน้ำกลั่นหรือกึ่งแห้ง
แม้ราคาค่าแบตเตอรี่จะเป็นเรตที่หลายคนพอจ่ายไหว แต่คงดีกว่าถ้าเรารู้จักดูแลทำความสะอาดแบตเตอรี่บ้าง โดยการเช็กขั้วแบตเตอรี่ เช็กน้ำกลั่น และปิดไฟอุปกรณ์เครื่องยนต์ทั้งหมดหลังใช้งาน เพื่อป้องกันปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมก่อนวันหมดอายุจริง นอกจากนี้ DirectAsia ยังมาพร้อมบริการให้คำปรึกษาแนะนำเพื่อให้คุณได้เลือกแผนประกันภัยรถยนต์ที่ใช่ และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ในทุก ๆ การขับขี่ พร้อมรับเบี้ยประกันราคาคุ้มค่าที่สุดเพื่อคุณโดยเฉพาะ
สอบถามข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านการประกันภัยรถยนต์ โทร 02-767-7777 หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมพร้อมเช็คเบี้ยประกันรถยนต์ทั้งประกันรถยนต์ชั้น 1, ประกันชั้น 1 เซฟ, ประกันรถยนต์ 2+, ประกันรถยนต์ 3+, ประกันชั้น 2, และ ประกันชั้น 3 คลิก https://www.directasia.co.th